การจัดการคลังสินค้าให้เป็นระบบนั้นอาจต้องพึ่งพาเทคโนโลยีใหม่ๆ หรือซอฟต์แวร์ที่ทันสมัย โปรแกรมที่มีฟังก์ชั่นการใช้งานตอบโจทย์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน จัดการคลังสินค้าอย่างเป็นระบบทำให้ธุรกิจมีศักยภาพในการแข่งขันมากขึ้นมีความได้เปรียบในด้านการแข่งขันสามารถบริหารจัดการสินค้าได้อย่างมืออาชีพส่งมอบสินค้าได้ทันเวลาและป้องกันข้อผิดพลาดต่างๆ ช่วยลดต้นทุนได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตามการเลือกระบบจัดการคลังสินค้านั้นสำคัญมากๆ จะต้องพิจารณาเลือกระบบที่เหมาะกับธุรกิจของเรามากที่สุด
WMS คืออะไร?
WMS คือ ระบบจัดการคลังสินค้าโดยย่อมาจาก Warehouse Management System ระบบนี้ถูกออกแบบมาให้การบริหารจัดการคลังสินค้าเป็นไปอย่างราบรื่น จัดการคลังสินค้าได้แบบครบวงจร ติดตามความเคลื่อนไหวของสินค้า ตั้งแต่การรับเข้าการนำไปจัดเก็บ การบริหารจัดการสต๊อกสินค้า การหยิบสินค้า แพ็คสินค้าและการส่งออกสินค้า ครอบคลุมไปจนถึงการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ข้อมูลในคลังสินค้าสามารถนำข้อมูลไปต่อยอดหรือใช้ประโยชน์ได้ในอนาคต
วิธีเลือกระบบจัดการคลังสินค้า WMS ให้เหมาะกับธุรกิจ
1.พิจารณาจากประเภทของธุรกิจ
WMS คือ ระบบจัดการคลังสินค้า ที่มีความสำคัญมากๆ การเลือกระบบนี้มาใช้งาน สิ่งแรกที่ต้องพิจารณาคือประเภทของธุรกิจต้องเลือกให้เหมาะสม ธุรกิจของคุณเป็นแบบไหน B2B B2C หรือ 3PL ธุรกิจแต่ละประเภทจะมีรูปแบบในการทำงานที่ต่างกันออกไป ดังนั้นระบบ WMS ที่นำมาใช้งานจะต้องมีฟังก์ชันที่ตอบโจทย์รองรับรูปแบบของธุรกิจนั้นๆ ด้วย
2.พิจารณาจากขนาดของธุรกิจ
เลือกระบบ WMS System ต่อมาให้พิจารณาที่ขนาดของธุรกิจ ธุรกิจมีขนาดเล็ก ขนาดกลางหรือเป็นธุรกิจขนาดใหญ่เพราะขนาดของธุรกิจนั้นมีความต้องการใช้งานระบบจัดการคลังสินค้าที่ต่างกัน ธุรกิจขนาดเล็กระบบ WMS มักมีราคาไม่แพงใช้งานง่ายหากเป็นธุรกิจขนาดกลางระบบจัดการคลังสินค้า WMS ควรเลือกมีฟังก์ชันครบวงจรและใช้งานง่าย สำหรับธุรกิจขนาดใหญ่ระบบจัดการคลังสินค้าจะมีความซับซ้อนมากขึ้นรองรับการทำงานในคลังสินค้าได้หลากหลายรูปแบบ
3.พิจารณาจากความต้องการของธุรกิจ
เลือกระบบ WMS พิจารณาจากความต้องการของธุรกิจ คลังสินค้าของคุณเป็นประเภทไหน สินค้ามีอายุสั้นหรือเป็นสินค้าอันตรายไหม ขนาดของคลังสินค้าขนาดเล็ก ขนาดกลาง หรือขนาดใหญ่สามารถจัดเก็บสินค้าได้กี่ SKU ปริมาณการจัดส่งบ่อยแค่ไหน จัดส่งสินค้าหลากหลายประเภทใช่หรือไม่ กระบวนการทำงานในคลังสินค้าเป็นอย่างไรและมีการนำเทคโนโลยีอะไรมาใช้บ้าง เป้าหมายคือคุณต้องการใช้ระบบจัดการคลังสินค้าเพื่ออะไร เพิ่มประสิทธิภาพในด้านไหนคุณต้องตอบคำถามเหล่านี้ให้ได้ก่อนนำระบบ WMS มาใช้งาน
4.พิจารณาที่ประสิทธิภาพในการจัดการคลังสินค้า
ข้อนี้สำคัญมากการเลือก ระบบคลังสินค้า WMS จะต้องดูที่ประสิทธิภาพในการจัดการคลังสินค้าว่าสามารถทำได้มากน้อยแค่ไหนมีฟังก์ชันการใช้งานอะไรบ้าง ครบถ้วนหรือไม่ เช่น การรับสินค้า การจัดส่งสินค้า การหยิบสินค้า การติดตามสินค้ารวมไปถึงการรายงานสรุปข้อมูลต่างๆ แบบ Real Time ความสามารถในการปรับแต่งสามารถปรับแต่งให้เหมาะกับธุรกิจของเราได้ไหม ใช้งานง่ายมากน้อยแค่ไหน รองรับอุปกรณ์อะไรบ้าง เช่น เครื่องสแกนบาร์โค้ด เครื่องคอมพิวเตอร์มือถือ เป็นต้น
5.พิจารณาที่ขีดความสามารถในการผสมผสานรวมกับระบบอื่น
ระบบการจัดการคลังสินค้า คือระบบที่เพิ่มความคล่องตัว ในการทำงาน การเลือกมาใช้งานจะต้องดูว่า สามารถผสมผสานใช้งานร่วมกับระบบอื่นๆ ที่มีความหลากหลายและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับธุรกิจได้หรือไม่ การใช้งานระบบ WMS ร่วมกับ ERP เพื่อให้วางแผนการผลิต การจัดซื้อ การขาย รวมไปถึงเรื่องของการเงินการเตรียมสินค้าเพื่อจัดส่งและยังช่วยอัพเดทสถานะคำสั่งซื้อหรือระบบ WMS ที่ทำงานร่วมกับ CRM ติดตามข้อมูลของลูกค้าบริการหลังการขายสร้างความประทับใจระบบ WMS ที่ใช้งานร่วมกับระบบ TMS ช่วยวางแผนเส้นทางการจองรถ การจัดการเรื่องเอกสารเกี่ยวกับการขนส่ง การอัพเดทสถานะการจัดส่งสินค้าแบบเรียลไทม์
6.พิจารณาที่ต้นทุนการใช้งานระบบจัดการคลังสินค้า
การนำระบบ WMS หรือโปรแกรม WMS จัดการคลังสินค้าเข้ามาใช้งานแน่นอนว่ามีต้นทุนหรือมีค่าใช้จ่าย นี่ถือเป็นหนึ่งปัจจัยที่ต้องนำมาพิจารณาด้วย เลือกแพ็คเกจที่ตอบโจทย์และราคาสมเหตุสมผล อย่าง Oasys มีหลายแพ็คเกจให้เลือก รูปแบบการใช้งานหรือขีดความสามารถในการใช้งานต่างกันออกไป เริ่มต้นด้วยแพ็คเกจ Business แพ็คเกจ Corporate แพ็คเกจEnterprise และ Enterprise Premium
สรุป
ระบบ WMS คือ ตัวช่วยจัดการคลังสินค้าการเลือกระบบจัดการคลังสินค้าดิบ WMS มาใช้งานจะเห็นได้ว่าต้องพิจารณาหลายอย่าง ดูที่ประเภทธุรกิจ ขนาดธุรกิจ ความต้องการธุรกิจ ประสิทธิภาพในการจัดการคลังสินค้า ความสามารถในการผสมผสานร่วมกับระบบอื่นๆ ต้นทุนในการใช้งานระบบ WMS ก็เป็นสิ่งสำคัญไม่น้อยสำหรับผู้ที่กำลังมองหาโปรแกรมจัดการคลังสินค้า WMS ที่ตอบโจทย์ Oasys เรายินดีให้บริการเริ่มต้นด้วยแพ็คเกจสุดคุ้มเพียง 1,999 บาท/เดือน นอกจากระบบจัดการคลังสินค้าแล้วยังมีระบบจัดการ Order ให้ใช้งานเพิ่มประสิทธิภาพในการขายของออนไลน์ได้ด้วย